เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ พ.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราพูดสิ่งใดก็แล้วแต่นะ เขาว่า “คำพูดมันเป็นนาย” พอทำสิ่งใดไปคำพูดเป็นนาย แต่ ! แต่มันไม่พูดก็ไม่เข้าใจนะ..

เวลาเข้าใจในพระไตรปิฏก เป็นอาบัติ.. เป็นอาบัติ.. เป็นอาบัติ.. มันเป็นอนาบัติ.. ที่ไม่เป็นอาบัติก็มี แต่นี่เราเรียนแต่อาบัติไง เราเรียนแต่ว่ากฎหมายต้องบังคับอย่างนั้นๆๆ แต่กฎหมายที่ยกเว้นนี่เยอะแยะเลย แต่ยกเว้นไปเขาเรียก “อนาบัติ” อนาบัติคือไม่ครบองค์ประกอบ ไม่เป็นอาบัติ.. นี้ถ้าครบองค์ประกอบมันถึงเป็นอาบัติ

นี่ก็เหมือนกัน เวลายกเว้น.. ยกเว้นภิกษุไข้ ยกเว้นผู้ป่วย ยกเว้นภิกษุผีเข้า แต่ขณะผีเข้า เพราะผีเข้านี่เอาไม่ได้เลย เห็นไหม ภิกษุฉันอาหารดิบไม่ได้ แต่ผีเข้านะ ในสมัยพุทธกาล ภิกษุเวลาผีเข้าไปตามร้านขายเนื้อ ไปขอเลือดสดๆ เขาแล้วดื่ม ฉะนั้นเวลาภิกษุผีเข้าเพราะดื่มเลือดสดๆ แต่ถ้าพูดถึงพอปกติแล้วทำไม่ได้ นี่เป็นอนาบัติ..

อนาบัติคือไม่เป็นอาบัติ... ทีนี้เป็นอนาบัติมันต้องมีเหตุผลใช่ไหม นี้พอเหตุผล.. อย่างเรานี่เราเป็นคนติดสุรา เวลาบอกว่าเราเป็นคนช้ำใน เราจะกินยาดองตลอด แล้วเราบอกว่าเราเป็นคนป่วย...

มันอยู่ที่เจตนาด้วยไง ความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ถ้าใจไม่สะอาดบริสุทธิ์ มันเข้าข้างตัวเองทั้งนั้นแหละ แต่ ! แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติกันนี่ เราทำอะไรกัน เราจับผิดตัวเราเองใช่ไหม ธรรมและวินัยนี้เอาไว้จับผิดเราไม่ใช่จับผิดคนอื่น กฎหมายนี่บังคับเรา ถ้าบังคับเราๆ จะเป็นคนดี

เรามีกฎหมายอันหนึ่ง เรามีไม้บรรทัดอันหนึ่ง จะไปวัดคนนู้น.. วัดคนนู้น.. วัดแต่คนนอกแต่ไม่เคยวัดตัวเราเอง ดูสิ ดูน้ำท่วม เห็นไหม น้ำท่วมเวลามันทำลายไปเลยนี่ เป็นข่าวเป็นคราวมากเลย เวลาเขาสร้างบ้านแปลงเมืองไม่เป็นข่าวนะ ทำคุณงามความดีนะไม่เป็นข่าว แต่เวลาทำความชั่ว ! เวลาทำลายสิ่งใดนี่มันเป็นข่าวมหาศาลเลย

นี่พูดถึงทางโลกที่เขาเห็นนะ โลกเขาตื่นเต้นกันอย่างนั้น แต่ดูในความรู้สึกของเราสิ มันทำลายทุกวันนะ โดยปกติร่างกายนี้เสื่อมสภาพไปทุกวัน คนเกิดมาทุกคนตามธรรมชาติจะรู้ว่าอายุขัย ๑๐๐ ปี นี่มันเผามันทำลาย เห็นไหม ธาตุไฟมันเผาผลาญอาหาร ย่อยอาหารให้เรา นี่ธาตุไฟ.. แต่มันก็เผาผลาญเราไปด้วย

หัวใจของเรานะ.. ความรู้สึกความนึกคิดของเรา.. กิเลสของเรานี่มันทำลายเราตลอด ! มันทำลายตลอด เห็นไหม เขาบอกว่า “ความอยากนี่ กิเลสปฏิบัติไม่ได้.. กิเลสปฏิบัติไม่ได้” ปฏิบัติด้วยกิเลสเป็นไปไม่ได้ !

โดยธรรมชาติของมนุษย์มันมีกิเลส ถ้าโดยธรรมชาติของมนุษย์มันมีกิเลส ไฟ ! ไฟที่มันเผาผลาญทำลาย มันเผาผลาญทำลายบ้านเมือง ไฟ ! เอามาทำอาหาร เอามาหลอมเหล็ก เอามาทำเป็นอุตสาหกรรม ไฟ ! ถ้าเขารู้จักใช้มัน ต้องใช้ให้เป็น

นี่ความอยาก ! อยากในการประพฤติปฏิบัติ อยากในการพ้นทุกข์ มันก็เป็นความอยากอันนั้นแหละ ! แต่ความอยากอันนั้น ความอยากมีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญานี่ เราใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับเราได้ เขาเรียกว่าเป็นมรรคไง

“มรรค” เห็นไหม ดูสิคือสิ่งที่เป็นประโยชน์.. เราบอกว่าสิ่งนั้นมันผิดไปหมดเลย อย่างเช่นมีด.. เครื่องมีดนี่เขาเอาไว้ทำครัว เขาเอาไว้ทำเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อทำอาหาร คนไม่เป็นมันเอามีดไปทำร้ายกัน มันไปทำลายกัน มันทำลายกันไปหมดเลย สิ่งนี้ทำลายกันนี่ มันย้อนกลับมาที่ว่าการทำลายในหัวใจของเรา ถ้าการทำลายในหัวใจของเรานี่มันทำลายอยู่แล้ว

ทีนี้การทำลาย.. สิ่งที่ทำลายทางปริยัติเขาบอกว่า “การประพฤติปฏิบัติ.. กิเลสฆ่ากิเลสไม่ได้” กิเลสฆ่ากิเลสไม่ได้.. แต่ถ้าทำความสงบของใจ คำว่ากิเลสสงบตัวลง สัมมาสมาธินี่สำคัญมาก ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ปัญญาทั้งหมดเห็นไหม ตอนนี้สิ่งที่มันมีปัญหาขึ้นมาเพราะว่าอะไร เพราะว่าเรามีกิเลส เรามีเครื่องทำลายในหัวใจของเรา แล้วเราก็ไปจำวิชาการของคนอื่นมา แล้วก็เอากิเลสของเขา เอาวิชาการของเขานี่ทำลายเราก่อนนะ

ทำลายเราก่อนว่าอะไร ทำลายเราก่อนว่าเราได้มรรคได้ผล มันเป็นการปล่อยวาง..นี่ทุกคนมันเข้าข้างตัวเองว่าปล่อยวางๆ.. มันปล่อยวางอะไร ! ปล่อยวางเป็นขี้ลอยน้ำใช่ไหม ปล่อยวางจนตัวเองไม่มีหลักเกณฑ์ใช่ไหม ปล่อยวางจนตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

แต่ของพวกเรามีสติปัญญา เห็นไหม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนานี่ แล้วเขาบอกว่า “พวกนี้อัตตกิลมถานุโยค.. ทำตัวเองให้ลำบากเปล่า นี่ทุกข์ยากทั้งนั้นเลย” ก็เพราะทุกข์ยากนี่ไง.. เพราะการเกิดมันทุกข์ยากนี่ไง.. เพราะความทุกข์ยาก จะเอาความทุกข์ยากนี่แก้ความทุกข์ยากไง !

ถ้าเอาความทุกข์ยากนะ นี่มันเพราะว่าไม่ให้กิเลสทำลายล้างเรา นี่มันเป็นกิเลสมันทำลายล้างเรานะ พอกิเลสมันทำลายล้างเราแล้ว เรามีส่วนในความรู้สึกนั้น เรามีส่วนในความคิดนั้น

ถ้าเรามีส่วนในความคิดนั้น.. นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเข้าข้างตัวเอง เราเคลมเอาหมดเลย เราว่าเรารู้เราเป็นไป นี้มันไม่เป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่แบ่งให้ชัดเจนมากหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งไว้ชัดเจนนะ

“ปริยัติ ! ปฏิบัติ ! ปฏิเวธ !”

ถ้าไม่มีการปฏิบัติ แล้วว่าปฏิบัตินี่เอาอะไรมาปฏิบัติ.. ปริยัติมันจะปฏิบัติใช่ไหม ปริยัติมาปฏิบัติเพราะปริยัติมันรู้แล้วใช่ไหม นี่มันรู้แล้ว มันรู้ด้วยอะไร.. รู้ด้วยการทำลายไง ! ดูสิเขาบอกนะ ทางวิชาการเขาบอกว่า พวกปืนผาหน้าไม้นี่ต้องเก็บให้พ้นมือเด็กนะ สิ่งใดที่เป็นพิษเป็นภัย ยาพิษต่างๆ ที่เอาใช้สอยนี่ เก็บให้พ้นมือเด็ก.. เก็บให้พ้นมือเด็ก.. เด็กมันไม่เอาไปทำลายคนอื่นนะ เด็กมันทำลายตัวมันเองเพราะมันไม่เข้าใจ

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ให้พ้นกิเลสก่อน ให้พ้นกับตัณหาความทะยานอยากของตัว.. แล้วพ้นอย่างไรล่ะ เพราะมันมีความอยาก ดูสินั่งสมาธินี่ อู้ฮู.. นั่งหัวปักหัวปำ พวกนี้อัตตกิลมถานุโยค.. นี่ปล่อยสบายๆ โอ๋ย.. ว่าง อู้ฮู.. มีความสุข.. อันนั้นเป็นธรรมเหรอ.. อันนั้นเป็นธรรมเหรอ ? นั่นล่ะมันเป็นการทำลาย !

คนทำชั่ว เราเห็นว่าเขาทำชั่วนะ คนทำดีเราว่าคนนี้เป็นคนดี ถ้าคนดีเห็นไหม ติดดีกับติดชั่วไง เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว” ไอ้การประพฤติปฏิบัตินั่นน่ะ มันก็เป็นกิริยาเท่านั้น ! มันเป็นการกระทำที่เราจะพ้นเท่านั้น ! กิริยาเห็นไหม การกระทำนี่มันเป็นกิริยา มันเป็นวิธีการเท่านั้น วิธีการนั้นเพื่อให้จิตนั้นพ้นออกไป

แล้วถ้าไม่มีกิริยา แล้วถ้าไม่มีวิธีการอย่างนั้นเอาอะไรไปทำ ปล่อยวาง.. ปล่อยวาง.. แล้วมันปล่อยวางมาจากไหน เริ่มต้นมันเอาอะไรไปปล่อยวาง ถ้าตัวเองไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์เอาอะไรไปปล่อยวาง

เรื่องของวัตถุ เรื่องของธาตุมันมีของมันอยู่แล้วนะ นี่พูดถึงว่าการทำลายไง ถ้าการทำลายนี่มันเป็นของมันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนอย่างหยาบ คนอย่างละเอียด คนอย่างละเอียดสุดต่างๆ นี้ เราเห็นการทำลายว่าทำลายอย่างไร มันของชั่วคราว มันเป็นอนิจจังเท่านั้นแหละ ทีนี้เราก็ใช้ประโยชน์มัน ถ้าเราใช้ประโยชน์มันได้ เราก็ใช้ประโยชน์มัน

ถ้าเราใช้ประโยชน์ไม่ได้ เห็นไหม นี่เข้ากันโดยธาตุ.. ธาตุของเขาเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกของเขาเป็นอย่างนั้น โลกเป็นอย่างนั้น “โลกกับธรรม”

ถ้าเราอยู่กับโลก เห็นไหม เราอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก.. ถ้าเราอยู่กับโลก เราเป็นขี้ข้าโลก คือโลกมันขี่คอเอาไง ทำทุกอย่างต้องไปเป็นประสาโลก นี่พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วนะ

“มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด.. คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง แล้วทำอีกอย่างหนึ่ง”

สิ่งที่คิดนี่พูดออกมาไม่ได้นะ แล้วสิ่งที่คิดทำไมพูดออกมาไม่ได้ล่ะ.. เพราะมันคิดโดยตัณหาความทะยานอยากใช่ไหม มันคิดด้วยความเห็นแก่ตัวใช่ไหม มันก็รู้ว่าความไม่ดี.. คิดอะไรทำไมไม่พูดออกมา คิดแล้วต้องเป็นกิริยามารยาทไง อย่างนี้พูดไม่ได้ พูดแล้วมันกระเทือนเขา

มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด ! คิดอย่างหนึ่ง.. พูดอย่างหนึ่ง.. แล้วทำอีกอย่างหนึ่ง แล้วเราอยู่กับเขานี่... ดูสิคนมีสัตย์ นี่ภาระ ๕ คนที่มีอำนาจวาสนา พูดโดยสัจจะ ถ้าโดยสัจจะเห็นไหม หลวงตาท่านบอกเลยนะ ท่านบอกว่า “เวลาโลกมองท่านเหมือนกับท่านโง่มาก เพราะหาผลประโยชน์ไม่เป็น เอารัดเอาเปรียบคนไม่เป็น เหมือนคนโง่ !”

คนโง่เห็นไหม แต่ว่ามันฉลาดในทางธรรม.. ทางธรรมคือว่าเราจะไม่สร้างเวรสร้างกรรมอีกแล้ว เราเกิดมานี่ ความเกิดเป็นทุกข์ยากมันก็เห็นอยู่แล้ว ความทุกข์ความยากเกิดมามันก็รู้เห็นทุกๆ คนอยู่แล้ว เราจะไม่สร้างเวรสร้างกรรมอีกแล้ว.. เราจะพยายามทำคุณงามความดี.. เราเสียสละให้ทุกคนเขาได้ความสุขจากบุญบารมีของท่าน

ทางโลกเขาว่าเป็นคนโง่.. คนโง่คือคนไม่หาผลประโยชน์ ไม่รู้จักเอาความดีความชอบใส่ตัว แต่ถ้าเป็นคนฉลาด.. “ฉลาดในธรรม” ไอ้ความดีความชอบทุกอย่างเห็นไหม ดูสิ คนจะมีชื่อเสียงมากมายขนาดไหน ดูสิ ดูสถิติที่คนมันก็มีการปีนป่ายกันตลอดเวลา แข่งขันกันตลอดเวลา ไม่มีใครจะอยู่เบอร์หนึ่งได้ตลอดไป ไม่มีหรอก !

ทุกคนนี่พอถึงเวลาที่สิ้นสุดแล้วต้องสิ้นชีวิตไปทั้งนั้นแหละ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าเราเห็นสภาวะแบบนั้น เรารักษาใจของเรา เราดูแลใจของเรา ใจของเรานี่แหละ ! อันนี้แหละ.. เรายืนอยู่กับเขา เห็นเขาเล่นกันสบายมากเลย อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลกไง โลกเขาเป็นอย่างนั้นเราก็เป็นอย่างนั้น เขาเป็นไปนะ

เราอยู่กับเขา ภาษาที่พูดกันนะ ภาษาก็คือภาษา ภาษาก็คือการรับรู้ รับรู้แล้วก็คือรับรู้ ถ้ารับรู้แล้วนะ แต่รับรู้แล้วสั่นไหวไปกับเขา เพราะเราต้องเป็นแบบเขา เราเป็นแบบเขาเพราะอะไร เพราะเราเป็นโลกไง แต่ถ้าเราเป็นธรรมนี่ เป็นธรรมเพราะเราเป็นอนิจจัง เห็นไหม ชั่วคราว.. แค่เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ผ่านไปแล้ว ของอย่างนี้เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง แต่เราทนได้หรือไม่ได้

ถ้าเรามีสติปัญญา เราอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ มันเป็นไปได้เพราะเราฝึกฝนไง.. เราฝึกฝน นี่ประสบการณ์ของผู้เฒ่าผู้แก่นะ เห็นโลกมามาก รู้หมดว่ามันควรและไม่ควร แต่เด็กเห็นสิ่งใดเริ่มต้นนะ มันก็ติดขัดไปของมัน มันก็ยึดมั่นไปของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เรามีประสบการณ์ของเรานะมันเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าเรื่องของธรรมคือต้องเอาชนะตัวเราเอง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ปัญญาคือรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาคือรอบรู้ทันความคิด !” ความคิดของเรานี่แหละที่มันจะเผาผลาญเราก่อน ความคิดเกิดขึ้นมานี่ มันจะร้อนวูบวาบในหัวใจของเรา แล้วคิดขึ้นมานะแล้วก็เจ็บแค้น แล้วต้องหาทางแก้ไข อันนี้เป็นความคิดใช่ไหม

แต่เวลาเหตุการณ์มันเกิดขึ้นมานี่มีความคิดไหม.. มี ! แต่ความคิดแบบนี้คิดแบบธรรม คิดแบบเข้าใจ พอเข้าใจแล้วนะ มันเป็นอย่างนี้.. วางไว้เป็นอย่างนั้น.. แต่ใจเราล่ะ.. เราจะเป็นของเรา เราจะอยู่ของเรา.. เราจะไม่ติดกับโลก ถ้าเราไม่ติดกับโลก เราอยู่ของเราได้

ทุกอย่างในสรรพสิ่งนี้เป็นสมมุติบัญญัติหมด ! เป็นสมมุติขึ้นมา.. สมมุติให้เป็นพิธีการ.. สมมุติขึ้นมาให้ทำ.. สมมุติเพราะว่าอะไร เพราะว่าให้คนได้มีโอกาส เพราะว่าให้คนได้มีการประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีการสมมุติ ไม่มีการปฏิบัติเลย คนมันจะนอนจมอยู่กับไอ้มูตร ไอ้คูถ ความโลภ ความโกรธ ความหลง

นี่มีพิธีการเพื่อจะให้ขยับขึ้นมา ให้จิตใจนั้นพ้นจากมูตรจากคูถ ให้มันขึ้นมาจากหลุมความโลภ ความโกรธ ความหลงอันนั้น.. แล้วมีการกระทำนั้น ถ้ามันรู้จักตัวของมัน มันได้มีการกระทำของมัน เห็นไหม เห็นการกระทำ เห็นการเคลื่อนไหว

ถ้ามันได้มีการกระทำอันนั้น นี่ไง.. สมมุติบัญญัติเพื่อเหตุนี้ไง ! เพื่อเหตุให้จิตนี้มันลุกขึ้นมา.. ให้จิตนี้มันก้าวเดินออกไป ให้ออกไปจากความยึดมั่นถือมั่นของตัว ให้มีธรรม.. มันก็แค่นั้นแหละ !

แต่ถ้ามันมีการกระทำไปแล้ว มันพ้นไปแล้วนี่ มันก็เข้าใจของมันใช่ไหม ถ้ามันเข้าใจของมันแล้ว เราจะมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา.. เพราะทำหรือไม่ทำก็เท่านั้น พอมันพ้นจากบาปดีและชั่วไปแล้ว พอพ้นจากบาปทั้งดีและชั่วไปแล้วนี่มันเป็นอย่างไรล่ะ มันเป็นที่มันเข้าใจได้

โลกนี้พูดไม่ได้ โลกนี้ไม่มีที่จะพูดสภาวะแบบนั้น เพราะไม่มีอย่างนั้นถึงบอกว่า “ว่างๆ ว่างๆ” ว่างๆ ก็อวกาศไง ดูสิ เวลาเครื่องบินมันขึ้นสูงไปยังไม่มีอากาศหายใจเลย ว่างๆ ว่างๆ นี่มึงจะไปลอยเป็นขยะอากาศไง มึงจะไปลอยอยู่บนอวกาศ จะไปเป็นขยะอยู่ที่นั่น ถ้าว่างโดยไม่มีสติไม่มีปัญญา

มันจะมีสติมีปัญญาว่างอย่างไร ทำอย่างไร.. มันจะเป็นความรู้สึกอย่างไร.. แล้วจิตนี้มันจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร.. เห็นไหม

เราเป็นชาวพุทธ เรามีครูมีอาจารย์ เรามีแบบมีอย่าง มีตัวอย่าง มีศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมา ในโลกนี้จะไม่มีใครมีอำนาจวาสนาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีปัญญาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นพุทธวิสัย อจินไตย ที่ใครจะคาดหมายถึงบารมี คาดหมายถึงปัญญา คาดหมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย

พระพุทธเจ้ายังปฏิบัติอยู่ ๖ ปี ! แม้แต่คืนที่จะสำเร็จยัง ๑๒ ชั่วโมงตั้งแต่หัวค่ำไป เห็นไหม ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุถฌาน.. เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนี่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ.. ยังมีการกระทำ ยังมีกิริยา ยังมี กิจจญาณ สัจจญาณ มีความจริงในหัวใจ

แล้วมีครูบาอาจารย์ของเราเป็นแบบอย่าง แล้วเรานี่มีครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ “ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นเจ้าของศาสนา.. เป็นบริษัท ๔ !” นี่ศาสนาจะทิ้งไว้กับศาสนทายาท

ศาสนทายาท เห็นไหม เราเกิดมานี่เราเป็น แล้วเรามีหลักมีเกณฑ์ไหม เราจะเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเราจะเชื่อขี้หมา เชื่อว่างๆ ว่างๆ เอ็งขึ้นไปบนอวกาศเอ็งไปตายอยู่บนนั้นนะ ไม่มีอากาศหายใจหรอก

มันต้องว่างอยู่บนโลกนี้.. ว่างอยู่ในความขัดแย้งนี้.. ว่างอยู่ในหัวใจที่มันทุกข์ยากอยู่นี้ ! ว่างอยู่บนโลกนี้ เพราะพื้นโลกนี้มันมีออกซิเจน มันมีอากาศหายใจ มันไม่ใช่ว่างอยู่บนอวกาศที่ว่าแปลกแยกไปกับโลกหรอก

มันต้องว่างอยู่ในโลกนี้ ความขัดแย้งในโลกนี้ แล้วอยู่กับมัน แล้วเข้าใจมัน แล้วปล่อยวางมันได้ตามความเป็นจริง ! เอวัง